Saturday, August 20, 2011
Home
สวัสดีครับเพื่อนๆ
3. เงินสำหรับส่งเสียลูกเรียนจนจบมหาลัยที่ดีๆ 2 ล้านต่อลูกหนึ่งคน
4. เงินสำหรับยามฉุกเฉินไว้รักษาพยาบาลหากคนในครอบครัวเกิดโรคร้ายแรงอย่างต่ำๆ 2 ล้านบาท
รวมแล้วต้องมีเงินเก็บ 10 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย
งั้นถ้าเรามีเงินเดือนสามหมื่นบาทเก็บเงินเดือนละหมื่นนะถ้าทำได้ จะต้องใช้เวลาเก็บหนึ่งพันปีเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นต้นทุนชีวิตจะสูงมากสำหรับคนหนึ่งคน
โรเบอร์ท คิโยซากิ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของอเมริกา มีมูลค่าทรับสินธ์เกินร้อยล้านเหรียญ และมีวิสัยทัศน์ในแง่ของเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Rich Dad ขึ้นมาโดยเขียนหนังสือที่ขายดีที่สุดในโลกขึ้นมาด้วย นั่นคือหนังสือที่ชื่อ Rich Dad & Poor Dad และ หนึ่งในหนังสือของเขาที่มีชื่อเสียงโด่งดังนั่นคือ Cashflow Quadrant ซึ่งกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าโลกเราใบนี้มีคนอยู่สี่ประเภท และในสี่ประเภทนี้ก็มีสองกลุ่มใหญ่ๆ นั่นคือคนในกลุ่มที่ใช้เงินทำงาน กับคนที่อยู่ในกลุ่มที่ทำงานเพื่อหาเงิน และคนสี่ประเภทนั้นมีหลักๆ ดังนี้
ตอนนี้เพื่อนๆ จัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทไหนหละ?
ถ้าอยู่ในกลุ่มหนึ่งหรือสองหละก็ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ เพราะเพื่อนๆ ได้พบกับสิ่งที่จะทำให้เพื่อนๆ ได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนในกลุ่มที่สามและสี่ ได้โดยไม่ต้องรอชาติหน้าอีกแล้ว! ส่วนคนที่อยู่ในกลุ่มสามและสี่ ก็ไม่ต้องเสียใจไปครับ เพราะคุณก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถเข้ามาลงทุนในธุรกิจแนวใหม่นี้ได้ (เพราะคนรวยไม่เคยมีแหล่งหาเงินเพียงแหล่งเดียวอยู่แล้วใช่ไม๊ แถมได้โบนัสเที่ยวฟรีขนาดห้าดาวโดยไม่เสียเงินตัวเองอีกนะ)
ธุรกิจที่ผมกำลังจะนำเสนอนี้เป็นธุรกิจที่เรียกว่า ธุรกิจเน็ทเวอร์กมาเก็ตติ่ง ซึ่งสองมหาเศรษฐีของโลกที่ชื่อ โรเบอร์ด คิโยซากิ และโดนัล ทรัม ยังออกมายืนยันผ่านงานเขียนของเขาทั้งสองที่ชื่อ Why we recommend network marketing เลยว่ามันดีจริงๆ ซึ่งธุรกิจนี้มันตอบโจทย์ ชีวิตของคนทุกคนได้จริงเช่น
1. คนที่ทำงานยุ่งทั้งวันหรือคนไม่มีเวลาก็จะมีเวลาเหลือเฝือในที่สุด
2. คนที่ไม่ค่อยมีเงินก็จะมีเงินเหลือมากพอในที่สุด
3. คนที่ต้องการมีอิสระในการดำเนินชีวิตก็จะมีเมื่อมีเงินมากพอ
4. คนที่ป่วยไข้ไม่สบายเพราะสาเหตุใดก็ตามก็จะหายและแข็งแรงมีสุขภาพกาย และจิตใจที่ดีในที่สุด
แล้วเพื่อนๆ จะสำเร็จได้อย่างไรหละมันทำได้จริงๆ เหรอ?
เพื่อนๆ ทุกคนครับ ทุกคนต้องตั้งใจศึกษาข้อมูลในเว็บนี้อย่าละเอียดนะครับ เพราะมันจะทำให้เพื่อนๆ สามารถเปลี่ยนชีวิตของเพื่อนๆ เองไปตลอดชีวิต เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะธรรมที่เรามองข้ามหรือหลงลืมมันไปแล้ว และเราจะหาทางออกให้กับเพื่อนๆ เองครับ
เพื่อนๆ เคยสงสัยไม๊ว่า ทำไมเราทำงานหนักแต่ทำไมไม่รวย และไม่มั่นคงสักที?
เพราะว่าเพื่อนๆ ใช้เครื่องมือผิดๆ ในการแสวงหาความร่ำรวยอยู่หนะสิ เพื่อนๆ บางคนบอกว่า ฉันไม่ต้องการความร่ำรวย ฉันเป็นคนที่พอเพียง แต่เพื่อนๆ ลองมองถึงความเป็นจริงสิ ความมั่นคง ก็ยังมีเรื่องของการมีเงินมากพอที่จะเลี้ยงครอบครัวอยู่ดี รวมถึงการมีเงินสำรองยามแก่ชลาด้วย ซึ่ง เงินทองเท่าไหล่ครับถึงจะทำให้เพื่อนๆ ไม่เดือนร้อน ในยามแก่แม้จะมีใครคนใดคนหนึ่งเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงซึ่งเราก็คงอยากช่วยรักษาคนที่เรารักให้หายใช่ไม๊แล้วต้องใช้เงินไม๊?
เรามาลองคำนวณเล่นๆ นะว่าสิ่งที่ครอบครัวหนึ่งๆ ควรมีนั้นจะต้องใช้เงินเท่าไหล่ในการได้มันมา
1. บ้านที่มีความสุขสบายเหมือนบ้านจริงๆ 5 ล้าน
2. รถยนต์ที่เราใช้พาตัวเราและครอบครัวไปทำธุระกิจหรือพักผ่อนตามที่ต่างๆ 1 ล้าน3. เงินสำหรับส่งเสียลูกเรียนจนจบมหาลัยที่ดีๆ 2 ล้านต่อลูกหนึ่งคน
4. เงินสำหรับยามฉุกเฉินไว้รักษาพยาบาลหากคนในครอบครัวเกิดโรคร้ายแรงอย่างต่ำๆ 2 ล้านบาท
รวมแล้วต้องมีเงินเก็บ 10 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย
งั้นถ้าเรามีเงินเดือนสามหมื่นบาทเก็บเงินเดือนละหมื่นนะถ้าทำได้ จะต้องใช้เวลาเก็บหนึ่งพันปีเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นต้นทุนชีวิตจะสูงมากสำหรับคนหนึ่งคน
การปฏิเสธความร่ำรวยของเพื่อนๆ ตามหลักจิตรวิทยานั้นจะยิ่งทำให้เพื่อนๆ ไม่อาจร่ำรวยได้ในชีวิตนี้ นี้คือหลักการของการเหนี่ยวนำจากหนังสือชื่อดังก้องโลกเรื่องเดอะซีเคล็ด ผมไม่ได้พูดให้ดูดีเพื่อต้องการหาผลประโยชน์จากใครแต่ผมต้องการจะชี้ให้เพื่อนเห็นถึงความเป็นจริงและพิจารณาเลือกทางออกที่ดีที่สุดของชีวิตที่มันมีอยู่จริง และมันก็ไม่ได้ยากจนเกินความสามารถของเพื่อนๆ ซะด้วย แล้วผมก็ได้เตรียมเครื่องมือนั้นไว้ให้แล้วแล้วเครื่องมือที่เพื่อนๆ ใช้ในการแสวงหาความมั่นคงและมั่งคั่งควรจะเป็นอะไรหละ?
E = Employee คือทำงานหาเงิน หรือมนุษย์เงินเดือน มีความมั่นคงในระดับหนึ่งซึ่งคนมักหลอกตัวเองว่ามันมั่นคง ผมพูดเช่นนี้เพราะคุณจะโดนไล่ออกเมื่อไหล่ก็ไม่รู้ หรือจะเจ็บป่วยจากการทำงานและถูกเลิกจ้างเมื่อไหล่ก็ไม่รู้เช่นกัน ไม่ต้องกล่าวถึงเงินชดเชยเมื่อคุณถูกเลิกจ้างนะครับ เพราะบริษัทหลายแห่งไม่มีให้ และถึงจะให้ก็ไม่เพียงพอให้คุณได้อยู่อย่างสบายในบั้นปลายชีวิตหลอกครับ
S = Self Employ คือเจ้าของกิจการขนาดเล็ก ถึงขนาดกลาง คนเหล่านี้มีจุดเด่นอยู่ที่มีเงิน แต่ไม่มีเวลา และตามมาด้วยมีโรค จะไปไหนกับครอบครัวต้องเคลียงงานเป็นเดือน หรืออาจไปไม่ได้เลย ทิ้งบริษัทไปไหนนานๆ ก็กังวล ลูกน้องจะทำงานดีไม๊ จะโกงไม๊ หมุนเงินในบริษัทยังไง ฯลฯ
B = Business Owner คือผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ เป็นบอร์ดบริหารบริษัท คนเหล่านี้มีหน้าที่วางนโยบายบริษัท และใช้เงินในการหมุนให้กิจการดำเนินต่อไปได้ ลักษณะเด่นคือ ไม่ต้องเข้าบริษัททุกวัน เดือนหนึ่งเข้าหนเดียวก็พอ แล้วเวลาที่เหลือก็ไปสังสรรค์เข้าสังคมชั้นสูง ซื้ออะไรก็ซื้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน
I = Invester คือนักลงทุนซึ่งใช้เงินทำงานแทนอย่างแท้จริงครับ นักลงทุนที่ชาญฉลาดสามารถใช้เงินไปทำงานแทนพวกเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำงานโดยใช้เงินลงทุนให้ถูกที่และถูกเวลา แล้วเงินนั้นก็งอกเงิยมาไม่หยุด
ตอนนี้เพื่อนๆ จัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทไหนหละ?
ถ้าอยู่ในกลุ่มหนึ่งหรือสองหละก็ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ เพราะเพื่อนๆ ได้พบกับสิ่งที่จะทำให้เพื่อนๆ ได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนในกลุ่มที่สามและสี่ ได้โดยไม่ต้องรอชาติหน้าอีกแล้ว! ส่วนคนที่อยู่ในกลุ่มสามและสี่ ก็ไม่ต้องเสียใจไปครับ เพราะคุณก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถเข้ามาลงทุนในธุรกิจแนวใหม่นี้ได้ (เพราะคนรวยไม่เคยมีแหล่งหาเงินเพียงแหล่งเดียวอยู่แล้วใช่ไม๊ แถมได้โบนัสเที่ยวฟรีขนาดห้าดาวโดยไม่เสียเงินตัวเองอีกนะ)
ธุรกิจที่ผมกำลังจะนำเสนอนี้เป็นธุรกิจที่เรียกว่า ธุรกิจเน็ทเวอร์กมาเก็ตติ่ง ซึ่งสองมหาเศรษฐีของโลกที่ชื่อ โรเบอร์ด คิโยซากิ และโดนัล ทรัม ยังออกมายืนยันผ่านงานเขียนของเขาทั้งสองที่ชื่อ Why we recommend network marketing เลยว่ามันดีจริงๆ ซึ่งธุรกิจนี้มันตอบโจทย์ ชีวิตของคนทุกคนได้จริงเช่น
1. คนที่ทำงานยุ่งทั้งวันหรือคนไม่มีเวลาก็จะมีเวลาเหลือเฝือในที่สุด
2. คนที่ไม่ค่อยมีเงินก็จะมีเงินเหลือมากพอในที่สุด
3. คนที่ต้องการมีอิสระในการดำเนินชีวิตก็จะมีเมื่อมีเงินมากพอ
4. คนที่ป่วยไข้ไม่สบายเพราะสาเหตุใดก็ตามก็จะหายและแข็งแรงมีสุขภาพกาย และจิตใจที่ดีในที่สุด
แล้วเพื่อนๆ จะสำเร็จได้อย่างไรหละมันทำได้จริงๆ เหรอ?
ถ้าเราจะต้องทำธุรกิจเน็ทเวอร์กกับใครสักคน เราต้องเลือกทำงานกับบริษัทที่มั่นคงใช่ไม๊ มีทีมงานที่เก่งคอยสนับสนุนใช่ไม๊ มีค่าตอบแทนสูงและคุ้มค่าใช่ไม๊ เป็นบริษัทมีอนาคตใช่ไม๊ ต้องมาเป็นคนแรกๆ ใช่ไม๊ และบริษัทต้องมีสินค้าที่ดีใช่ไม๊ นี่คือองค์ประกอบของความสำเร็จ
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments: